อภ.-สปสช.จับมือสภากาชาด



อภ.-สปสช. จับมือ สภากาชาด ศูนย์พิษรามาฯ จัดการยาต้านพิษ
5 ปี ช่วยคนรอดชีวิตจากพิษไปแล้ว กว่า 13,000 ราย

          อภ. สปสช. สมาคมพิษวิทยา คลินิกสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ร่วมบริหารจัดการยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ หวังให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที และลดภาระค่าใช้จ่ายในการสำรองยาราคาสูงให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศโดย 5 ปีที่ผ่านมา ช่วยคนรอดชีวิตจากพิษไปแล้ว กว่า 13,000  ราย
          นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า จากปัญหาการเข้าถึงยากำพร้าของผู้ป่วย ในกลุ่มยาต้านพิษซึ่งเป็นยาที่มีปริมาณการใช้น้อย อุบัติการณ์ที่มีเหตุจำเป็นต้องใช้ไม่สม่ำเสมอ แต่ยายังคงมีความจำเป็นในการใช้รักษา ทำให้บริษัทยาไม่มีการผลิตเพื่อสำรองไว้ในประเทศ ประกอบกับถ้าสำรองไว้จะมีค่าใช้จ่ายในการสำรองที่สูง มีความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการยาหมดอายุ และเป็นกลุ่มยาที่ไม่ทำกำไร ทำให้บริษัทไม่สนใจที่จะผลิตหรือนำเข้า เพราะไม่คุ้มค่า จนส่งผลต่อการเข้าถึงยาของผู้ป่วย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการสำรองยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษต่างๆ อาทิ พิษจากสารไซยาไนด์ พิษจากสารโบทูลิซึม หรือจากเชื้อครอสตริเดียม โบทูลินัม จากหน่อไม้ปิ๊บ  รวมถึงเซรุ่มต้านพิษงูต่างๆ โดยเมื่อผู้ป่วยได้รับพิษเหล่านี้ต้องได้รับยาให้ทันต่อการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษสารไซยาไนด์ต้องได้รับยา Sodium Thiosulfate Injection 25% ภายใน 1 ชั่วโมง  ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารโบทูลิซึมหรือจากเชื้อคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม ผู้ป่วยต้องได้รับยา Botulinum antitoxin ภายใน 24 ชั่วโมง  ดังนั้นสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงได้ร่วมมือกับ องค์การเภสัชกรรม สมาคมพิษวิทยาคลินิก และสถานเสาวภา สภากาชาดไทย  ร่วมมือกันบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ เพื่อร่วมดำเนินการจัดหาสำรอง และกระจาย ยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ ให้เข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง และรวดเร็วทันท่วงที  และยังเป็นการช่วยลดภาระของโรงพยาบาลที่ต้องแบกรับรายการยาที่มีมูลค่าสูง หรือยาที่จำเป็นต้องมีไว้ในห้องยา ปัจจุบันมีรายการยาต้านพิษ เซรุ่มต้านพิษงูในการบริหารจัดการแล้ว 17 รายการ
          นพ.นพพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของการดำเนินงานนั้น องค์การฯได้มีการจัดหายาต้านพิษและเซรุ่มจากผู้ผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ตามโครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ เช่น ยารักษาภาวะพิษจากสารตะกั่ว หรือสารหนู ยารักษาภาวะพิษจากไซยาไนด์ ยารักษาภาวะที่เม็ดเลือดแดงของร่างกายลดความสามารถในการขนส่งออกซิเจน จากการมีเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ และยังได้จัดหายากำพร้าอื่นๆ สำรองไว้ที่คลังขององค์การฯ หลายรายการด้วยกัน อาทิเช่น ยาลดภาวะอาการแข็งเร็งของกล้ามเนื้อ            เคลื่อนไหวผิดปกติจากการใช้ยาทางจิตเวช ยารักษาการแพ้ยาสลบ เป็นต้น โดย ในปีหนึ่งองค์การฯได้ทำการจัดหาและสำรองไว้เป็นมูลค่าถึง 50 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าน้อยกว่ามูลค่าของยากลุ่มอื่น แต่ว่าเป็นยาที่มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วย ที่ต้องมีไว้ในระบบยาของประเทศ
ด้านการกระจายนั้น องค์การฯจะทำหน้าที่เป็นผู้กระจายยาต้านพิษและเซรุ่มต่างๆ โดยยาต้านพิษที่มีมูลค่าไม่สูงมากนัก และมีความถี่ในการใช้สม่ำเสมอจะถูกบริหารจัดการด้วยระบบบริหารคลังสินค้าหรือ VMI          เพื่อกระจายไปเติมเต็มการสำรองยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะที่ยาต้านพิษที่มีมูลค่าสูง อย่างเช่น ยาต้านพิษ Botulinum antitoxin ใช้ต้านพิษจากสารโบทูลิสมหรือจากเชื้อครอสตริเดียม โบทูลินั่ม จากหน่อไม้ปี๊บ ที่มีราคากว่า 400,000 บาท ต่อการรักษา 1 ครั้งนั้น จะสำรองไว้ที่ส่วนกลาง คือ องค์การเภสัชกรรม ศูนย์พิษวิทยา และกรมควบคุมโรค 
ที่ผ่านมาองค์การฯ สามารถดำเนินการจัดส่งยาดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที อย่างเช่นกรณีที่โรงพยาบาลภูมิพล เหตุเกิดกลางดึกเวลา 02.46 น.ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา องค์การฯ สามารถจัดส่งยาได้ภายใน 30 นาทีทำให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติได้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมต่อไปได้
ด้าน ศ.นพ.วินัย วนานุกุล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดีผู้แทนสมาคมพิษวิทยาคลินิก กล่าวว่า ศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี เป็นศูนย์พิษวิทยาแห่งแรก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2539 ช่วงแรกได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยสารเคมีขององค์การอนามัยโลก (International Programmeon Chemical Safety: IPCS) หลังจากเปิดดำเนินงานระยะหนึ่ง พบว่ามีปัญหาด้านการรักษาเพราะขาดแคลนยาต้านพิษอย่างมาก เพราะขณะนั้นประเทศไทยมียาต้านพิษน้อยมาก ยาบางรายการไม่เคยมีเลยในประเทศ ทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งต้องเสียชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย
หลังการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)  ได้มีการบริหารจัดการด้านยารวมถึงกลุ่มยากำพร้าเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา โดยในช่วงปี พ.ศ. 2553 สปสช.ร่วมกับศูนย์พิษวิทยา และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำ “โครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ” เพื่อจัดหายาต้านพิษเร่งด่วนที่ควรมีในประเทศ โดยใช้ฐานข้อมูลของศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี ซึ่งได้จัดเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปลายปี 2553 มีการบรรจุยาต้านพิษในบัญชีที่ 6 รายการ ปีต่อมาได้ปรับเพิ่มบัญชียาเป็น 10 รายการ ในแต่ละปีจะมีการทบทวนบัญชียา มีการถอนรายการออกและบรรจุยาใหม่ เนื่องจากยาบางรายการประโยชน์น้อย ราคาแพง หรือมีการรักษาใหม่ที่ให้ผลดีกว่า  เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันนี้มียาในบัญชีทั้งหมด 17 รายการโดยได้รวมเอาเซรุ่มต้านพิษงูเข้าไปด้วย 
ศ.นพ.วินัย กล่าวต่อว่า ศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี เป็นเสมือนศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารด้านการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษทุกๆ อย่าง ได้มีส่วนร่วมดำเนินการอยู่ในหลายขั้นตอน ทั้งการให้คำแนะนำ คำปรึกษาเพื่อการวินิจฉัย  การประเมินว่าผู้ป่วยต้องได้รับยาต้านพิษใด ขนาดเท่าใด วิธีไหน การประสานงานกับโรงพยาบาลได้รับยาเพื่อรักษาผู้ป่วย และการติดตามผลการรักษา เป็นที่สำรองยาที่มูลค่าสูง พร้อมทั้งได้มีการจัดตั้งระบบ Call Center 1367 บริการตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้การบริการของศูนย์พิษวิทยามีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จำนวนผู้ใช้บริการจากทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี พ.ศ. 2558 มีการปรึกษาเข้ามา 20,000 กว่าเหตุการณ์ จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องมีทั้งสิ้น 19, 500 ราย โดยในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยาต้านพิษ และผ่านการให้คำปรึกษาของศูนย์พิษวิทยาทั้ง 3 ศูนย์ของสมาคมพิษวิทยาคลินิกมีอัตราการรอดชีวิตกว่า 95% และ 90% ของผู้ป่วยที่รอดชีวิตกลับมาใช้ชีวิตโดยปกติ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวหนึ่งของระบบการรักษาพิษวิทยาในประเทศไทย นอกจากนี้จากการนำเสนอโครงการนี้ในระดับนานาชาติ มีหลายประเทศสนใจทำความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการดูแลผู้ป่วยได้รับสารพิษซึ่งจะเป็นก้าวที่สำคัญต่อไปของโครงการนี้ 
ศ.(พิเศษ) ภญ.สุมนา ขมวิลัย ผู้แทนสถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในส่วนของสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ได้รับบทบาทสำคัญในการผลิตยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษหลายรายการ อาทิเช่น ยารักษาภาวะพิษไซยาไนด์ ยารักษาภาวะที่เม็ดเลือดแดงของร่างกาย ลดความสามารถในการขนส่งออกซิเจน จากการมีเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ และเซรุ่มต้านพิษงู ซึ่งทำให้ประเทศไทยมียากำพร้าคุณภาพดี ใช้ในราคาที่เข้าถึงได้ และเป็นที่น่าภูมิใจของประเทศไทยที่ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษใช้เองในประเทศได้ นอกจากนี้สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ยังได้เปิดคลินิกรักษาผู้ป่วยที่ถูกสัตว์พิษกัด ร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลรามาธิบดีในการดูแลผู้ป่วย
ด้าน ภญ.เนตรนภิส สุขนวนิช รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา การบริหารจัดการภายใต้ความร่วมมือแบบศูนย์รวมนี้ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยาต้านพิษ และมีชีวิตรอดแล้วกว่า 13,000 ราย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วน ซึ่งความร่วมมือที่ผ่านมาไม่เพียงแต่เพิ่มการเข้าถึงยา ที่ทันท่วงที่ และช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว หากแต่แนวทางของการดำเนินการในลักษณะนี้ยังสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา และเป็นการนำร่องสู่การพัฒนาการดำเนินงานแบบบูรณาการไปยังยา และเวชภัณฑ์รายการอื่นๆ อันทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาจำเป็น และลดภาระงานของหน่วยบริการได้อีกด้วย


About แอดมิน

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.

ผู้สนับสนุน