ชวนหนีฝุ่นไปสูดอากาศ ชมธรรมชาติ Unseen ที่ป่าชายเลนปากน้ำประแส
หนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ
ไปหาความสงบร่มรื่น
สูดโอโซนและซึมซับความเขียวสดชื่นของป่าชายเลนที่จะช่วยเยียวยาทุกสิ่งที่ทำให้ระดับความเครียดหายไป
กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ใกล้กรุงเทพฯ แค่นี้เอง
นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติเตรียมแพคกระเป๋าได้เลย
ป่าชายเลนปากน้ำประแส
ตำบลปากน้ำประแส จ.ระยอง คือหมุดหมายปลายทางของการเดินทางของทริปนี้ ป่าแห่งนี้มีพื้นที่
6,000 ไร่ เป็นหนึ่งในป่าชายเลนผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในภาคตะวันออก ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกทำลายจากการบุกรุกของนากุ้งและการขยายตัวของชุมชนจนกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม
ในที่สุดทางราชการได้ร่วมมือกับชุนชมและเอกชนหลาย ๆ แห่ง เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์
จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีจุดน่าเที่ยวชมมากมาย
ล่าสุด
ป่าชายเลนปากน้ำประแสได้รับเลือกเป็นพื้นที่ต้นแบบของโครงการอนุรักษ์ป่าชายเลนครบวงจร
Dow & Thailand Mangrove Alliance
ในความร่วมมือของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ
(IUCN) และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่เข้ามาปลูกป่าชายเลนร่วมกับชุมชนแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่องนานกว่า
12 ปี โดยเน้นพัฒนาศูนย์การเรียนรู้
ส่งเสริมกลไกคาร์บอนเครดิต และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การเดินชมป่าชายเลนปากน้ำประแสต้องเดินไปตามสะพานไม้ทอดยาว
2.7 กิโลเมตร ที่ใช้เป็นเส้นทางห้องเรียนศึกษาธรรมชาติ มีป้ายให้ความรู้เป็นระยะๆ สองฟากของสะพานร่มรื่นไปด้วยไม้โกงกางที่แข่งกันสูงจนกลายเป็นร่มเงาให้แก่นักท่องเที่ยว
เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ป่าบกไม่มีคือรากของต้นไม้ในป่าชายเลนที่ขึ้นอยู่เหนือน้ำทะเล เป็นรากไม้ทำหน้าที่ค้ำยันลำต้น
เหมือนคนกำลังกางแขนออก
นอกจากนี้ยังมีรากที่ผุดเป็นตอขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อดูดซับออกซิเจนไปสังเคราะห์แสง นี่คือเหตุผลที่ทำไมมาเที่ยวป่าชายเลนจึงได้รับอากาศบริสุทธิ์กว่าป่าบกหรือชายทะเล
เดินชมนกชมไม้เพลิน
ๆ บางโมเม้นต์อาจจะได้ยินเสียงปลากระโดดขึ้นมาเหนือน้ำ ใช่แล้ว!! เพราะป่าชายเลนมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์จึงมีทั้ง กุ้งหอย ปู
ปลาว่ายจากทะเลเข้ามาหาอาหารที่มีอยู่ชุกชุมในป่าชายเลนรวมทั้งแอบมาวางไข่ด้วย น้ำที่นี่ใสจนเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาได้ชัดเจน ชาวบ้านบอกว่าถ้ามาเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม-กันยายน
เป็นฤดูน้ำลด
จะได้เห็นความงดงามแปลกตาของป่าผืนนี้เหมือนเทพนิยายที่เปลี่ยนฉากใหม่
เมื่อน้ำลดภาพความมหัศจรรย์ของรากต้นโกงกางและต้นลำพูจะลอยเห็นเด่นชัดแผ่อาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตากลายเป็นศิลปะความงดงามที่ธรรมชาติแต่งแต้มให้มนุษย์ได้เรียนรู้ความพิสดารของธรรมชาติจากผืนป่า
เดินเล่นเย็นสบายไปตามสะพานไม้ที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะมาโผล่บนพื้นที่โล่งกว้าง
ในที่สุดก็มาถึงไฮไลต์ของป่าชายเลนปากน้ำประแส
คือ “ทุ่งโปรงทอง” หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองไทยที่หาดูได้ยากมาก
ปกติต้นโปรงเป็นไม้ขึ้นตามป่าชายเลนบริเวณเลนแข็ง
เป็นไม้โตเร็วมีความสูงเกิน 10 เมตร มีใบเป็นสีเขียวตลอดทั้งปี
แต่ไม้โปรงทองที่ขึ้นบริเวณทุ่งแห่งนี้เรียกว่าขึ้นผิดที่ผิดทาง
เพราะอยู่ในบริเวณที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง จึงมีธาตุอาหารน้อย ความชื้นน้อย
เลยทำให้ลำต้นแคระแกรนใบออกสีเหลืองตลอดทั้งปี
พื้นที่ปลูกต้นโปรงแดงนี้ประมาณ 100 กว่าไร่
จึงกลายเป็นภาพของต้นโปรงที่อวดใบเหลืองสีทองเต็มทุ่งอย่างสวยงามตลอดทั้งปี มุมนี้มีศาลาไม้ยกสูงให้เป็นจุดชมวิว 360
องศาและแชะภาพสวย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
มาเที่ยวประแสให้ครบเครื่องต้องเช่าเรือลัดเลาะไปตามชายฝั่งเพื่อชมธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน
ชมนกหลากหลายสายพันธุ์ และกำแพงไม้ไผ่ดูแปลกตาที่ทอดยาวตลอดแนวคลองแสมผู้
ตั้งแต่มีการฟื้นฟูป่าชายเลนและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ชาวบ้านชาวประแสก็ใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งมาออกเรือพานักท่องเที่ยวชมความงามของป่าชายเลนหารายได้พิเศษให้ครอบครัว เรือหางยาว 1 ลำบรรทุกนักท่องเที่ยวได้ 7
คน จ่ายคนละ 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เปิดให้บริการตั้งแต่ 6.00 – 17.00 น.
ลุงชมชาย ไกแก้ว
เจ้าของเรือเช่าเล่าถึงเส้นทางที่จะพานักท่องเที่ยวไปชมธรรมชาติ พาไปดูนกหลากหลายสายพันธุ์ ผ่านบ้านโบราณอายุ 100 ปีของลุงสนาน เข้าทุ่งโปรงทอง ผ่านศาลสมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ
อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส คนขับเรือส่วนมากใจดีนักท่องเที่ยวต้องการขึ้นบกไปชมอะไรก็จะแวะให้ตลอดเส้นทาง
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนทำให้ชาวชุมชนที่นี่มารายได้จากทำประมงเลี้ยงตัวได้ตลอดทั้งปี
ถ้าหน้าน้ำขึ้นชาวบ้านจะปักหลักไม้ไผ่ตามชายฝั่งเพื่อเลี้ยงหอยนางรมสร้างรายได้ปีละเป็นหลักแสนบาท
รวมถึงหน้าน้ำมีตัวเคยชุกชุม ใครขยันก็เอายอมาดักจับเคยไปขายเพื่อทำกะปิ
ซึ่งกะปิจากตัวเคยให้รสชาติที่อร่อยจนกลายเป็นสินค้า
OTOP อันเลื่องชื่อของชุมชนประแส จ.ระยอง
ชาวบ้านเล่าว่าพอถึงช่วงน้ำลดเหล่าฝูงปูก็ออกจากรูมาเริงร่าตามดินเลนต้อนรับนักท่องเที่ยว ส่วนชาวบ้านก็จับคราดหาหอยแครง หอยตลับ จับปูดำ
ปูแสม นำมาต้มแล้วตำพริกเกลือไว้จิ้มกิน จับได้มากก็นำไปขาย
เรียกได้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนให้มีอาชีพมั่นคง
สุดแต่ว่าใครขยันก็หารายได้ได้มากขึ้น
กว่าจะจบกิจกรรมเดินป่าเวลาก็เดินมาถึงตอนเที่ยงแล้ว
มาถึงประแสถ้าไม่แวะกินอาหารที่ร้านเจ๊หน่องแซบเว่อร์
ถือว่ายังมาไม่ถึงประแสอย่างถึงแก่น
ร้านเจ๊หน่องแซบเว่อร์ ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านเก่าริมน้ำประแส ซึ่งเป็นชุมชนริมทะเลเก่าแก่อายุเกือบร้อยปี
มาเดินที่ชุมชนนี้เหมือนย้อนยุคกลับไปสัก 50 ปีที่แล้ว เพราะบ้านแต่ละหลังเป็นเรือนแถวไม้เก่าๆ
ดำรงอาชีพแบบ
เดิม ๆ มาตั้งแต่บรรพบุรุษบ้านเรือนตั้งอยู่สองฟากถนนที่ทอดไปสุดทางที่ท่าเรือ
ร้านเจ๊หน่องไม่เพียงแต่อาหารอร่อยเท่านั้น แต่ที่นี่เน้นใช้วัตถุดิบที่มีเฉพาะที่ปากน้ำประแสมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ด เรียกว่าอยากรู้ว่าที่นี่มีของดีอะไร
มาร้านนี้ได้กินครบ อาทิ ข้าวผัดประแสใช้ซีฟู้ดเช่น กุ้ง หมึก ปู
ปลาที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้สดๆ วันต่อวัน ทีเด็ดของเมนูนี้คือใส่ตัวเคย ของดีตามธรรมชาติจากป่าชายเลนประแสที่มีชุกมาก
ชาวบ้านยกยอเคยสด ๆ ก็นำมาส่งให้ร้านเจ๊หน่องบ้าง นำไปทำกะปิเคยบ้าง
ทำข้าวเกรียบเคยบ้าง
ทอดมันปลาเนื้อเหนียวรสชาติจัดจ้านแบบไม่ง้อน้ำจิ้ม เจ๊หน่องใช้เนื้อปลาสากเป็นปลาที่มีชุกชุมในท้องถิ่น
ซึ่งทอดมันนี้ต้องกินคู่กับข้าวผักประแสถึงได้จะครบรสความอร่อยของท้องทะเลแห่งนี้ อีกเมนูที่ควรสั่งมากินคือ หมึกกะตอยผัดน้ำดำ
เป็นหมึกกระตอยที่จับสด ๆ มาจากทะเลรสหวานกรอบเพราะไม่แช่น้ำ, แกงส้มผักกระชับ ซึ่งเป็นผักท้องถิ่นหารับประทานได้เฉพาะที่ระยอง
ปัจจุบันแหล่งปลูกใหญ่อยู่ที่ทะเลน้อย ไม่ไกลจากประแส
ร้านเจ๊หน่องนำผักกระชับมาทำถึง 4 เมนูคือแกงส้ม ยำ ผัดน้ำมันหอยและชุบแป้งทอด
จบอาหารคาวต้องปิดท้ายมือกลางวันแสนอร่อยด้วยเมนูห้ามพลาดคือ
วุ้นใบขลู่ในกะลา ซึ่งใบขลู่คือพรรณไม้จากป่าชายเลนขึ้นชื่อของที่นี่
เจ๊หน่องนำชาใบขลู่ที่มีกลิ่นหอมมาทำเป็นวุ้นแล้วใส่ลงใน “ขนมกะลา”ที่ทำจากมะพร้าวเคี่ยวกับน้ำตาลแล้วขึ้นรูปเป็นกะลา
ซึ่งเป็นขนมหวานโบราณของชาวประแส
อิ่มกันจนพุงกางแล้วก็เดินเล่นกันต่อในชุมชน แวะทำหมอนสัตว์ทะเลกับชมรมบ้านเก่าริมน้ำประแส
ทำง่าย ๆ เพราะมีแพทเทิร์นให้เรียบร้อย ทำไม่เป็นมีพวกกลุ่มแม่บ้านคอยสอน
หรือใครจะซื้อหมอนรูปสัตว์ทะเลเป็นของฝากติดมือกลับบ้านก็ได้ นอกจากนี้ชาวบ้านริมน้ำยังทำของฝากที่ได้จากทะเล
เช่น กะปิโฮมเมดที่ทำจากเคย ปลากุเลาเค็ม เคยแห้ง ปลาแห้ง เป็นต้น
กิจกรรมยังมีให้สนุกกันต่อ นั่งรถสามล้อเครื่องไปบ้านลุงชะโลม วงศ์ทิม
วิสาหกิจชุมชนชาใบขลู่และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ชิมชาใบขลู่ร้อน ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จิบแล้วชื่นใจมาก
ลุงชะโลมเล่าเรื่องที่มาของชาใบขลู่ว่าเป็นสมุนไพรท้องถิ่นซึ่งเป็นภูมิปัญญาสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในป่าชายเลน
แล้วลุงชะโลมก็นำมาต่อยอดพัฒนาชาใบขลู่ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะอาดถูกหลักอนามัย ในบ้านลุงชะโลมยังมีสมาชิกวิสาหกิจมาสาธิตการทำชาใบขลู่ให้ชมอีกด้วย
ชาใบขลู่มีสรรพคุณทางยา อาทิ ลดไขมันในเส้นเลือด บรรเทาเบาหวานและขับปัสสาวะ
เป็นต้น ใครไปเที่ยวก็อย่าลืมอุดหนุนชาใบขลู่ของลุงชะโลมเป็นของฝากจากประแส
ที่นอกจากมีประโยชน์แล้วยังเป็นการช่วยชุมชนให้มีรายได้อีกด้วย
อีกไฮไลต์ปิดท้ายเที่ยวป่าชายเลนปากน้ำประแสที่ห้ามพลาดเด็ดขาดคือนั่งแพเปียกไปให้อาหารเหยี่ยวแดง พวกเรามานั่งดื่มน้ำเย็น ๆ
รอเวลาลงเรืออยู่ที่บ้านชานสมุทรซึ่งเป็นโฮมสเตย์ ร้านกาแฟ และที่ลงแพเปียกด้วย ควรรอเวลาแดดร่มลมตกประมาณ 4
โมงเย็นถึงออกเรือจะได้ไม่ร้อนมาก
ได้เวลาเดินทางกันแล้ว แพแล่นช้า ๆ
ไปตามชายฝั่งดูบ้านเรือนและวิถีชีวิตของคนประแสที่นอกจากจะมีอาชีพประมงแล้ว
ชาวประแสยังเก่งเรื่องต่อเรือและซ่อมเรืออีกด้วย
เก่งขนาดรับจ้างต่อเรือลำใหญ่ ๆ ให้ต่างชาติไปแล้วหลายลำ เวลาแพแล่นผ่านไปจึงเห็นอู่ต่อเรือหลายแห่งที่มีเรือจอดไว้เป็นจำนวนมากสลับกับบางบ้านที่แปลงมาเป็นเกสต์เฮ้าส์ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เริ่มรู้จักประแสมากขึ้น
ดูเพลิน ๆ
แพก็พาออกไปถึงปากน้ำที่มีป่าชายเลนหนาแน่นมากเห็นเป็นแนวสีเขียวยาวสุดขอบฟ้าตัดกับน้ำทะเลและท้องฟ้าสดใส
มาถึงจุดนี้แพก็จอดนิ่ง ๆ ปล่อยให้พวกเราดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสวยงามของป่าชายเลนสักพักก่อน
แล้วก็ได้เวลาดินเนอร์ของฝูงเหยี่ยวแดงกันแล้ว
ลุงขับแพหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าเสียงแหลมกรีดดังไปทั่วคุ้งน้ำ
สักพักก็ได้ยินเสียงขานรับของเหยี่ยวแดงนกประจำถิ่นที่หลบอยู่ในป่าชายเลน
ส่งสัญญาณคุยกันสักพักเหยี่ยวแดงฝูงใหญ่ก็บินปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้า ลุงขับแพจะโยนอาหารคือ”มันเปลว”
ลงไปในน้ำเพื่อให้เหยี่ยวแดงบินโฉบมากิน
หรือถ้าใครอยากจะลองให้อาหารเหยี่ยวแดงก็ได้เพราะเหยี่ยวแดงจะเชื่องมากแต่ไม่บินมาใกล้คน
เสร็จจากให้อาหารเหยี่ยวแดงแล้วยังเหลือเวลาให้นักท่องเที่ยวได้ลงเล่นน้ำรอบ
ๆ แพเพื่อรอเก็บภาพสวย ๆ ตอนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นการปิดทริปด้วยภาพแสนโรแมนติก
ปากน้ำประแส
สามารถเที่ยวแบบมาเช้าๆ กลับค่ำๆ ได้ หรือจะค้างโฮมสเตย์ก็ได้ใช้ชีวิตช้าๆ
สูดอากาศดีๆ จนเต็มปอด นอกจากนี้ เพียงนั่งเรือจากปากน้ำประแสออกทะเลไปเพียง 40 นาที ก็จะได้พบกับ
เกาะมันใน เกาะมันกลาง และ เกาะมันนอก ที่มีหาดทรายขาวสะอาด และน้ำทะเลสีฟ้าใส วันหยุดนี้อยากให้ลองมาพักกาย
พักใจ สูตรอากาศดีๆ แลวิธีชีวิตชุมชนที่ปากน้ำประแส อ. แกลง จ. ระยอง
###
เกี่ยวกับ ‘ดาว’
Dow (ดาว)
เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกซึ่งพัฒนาและผลิตวัสดุชนิดต่างๆ
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทแมททีเรียลส์ ไซแอนซ์
(Materials science) อันดับหนึ่งของโลกในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน
ด้วยการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และให้การยอมรับบุคคลากรที่มีความหลากหลาย
Dow
มีเป้าหมายที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกด้วยความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ของเรา
และการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั่วโลก
กลุ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ทางวิทยาศาสตร์ของ ดาว ได้แก่ พลาสติกชนิดต่างๆ
เคมีภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรม สารเคลือบผิว และซิลิโคน
ซึ่งเน้นสร้างความแตกต่างเพื่อตอบโจทย์ในตลาดที่มีการเติบโตสูง เช่น บรรจุภัณฑ์
การก่อสร้าง ยานยนต์และการขนส่ง และการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ปัจจุบัน Dow
มีฐานการผลิต 106 แห่งใน 31 ประเทศ และมีพนักงานประมาณ 35,700 คน โดยมียอดขายในปี
2563 ประมาณ 39,000 ล้านดอลลาห์สหรัฐฯ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dow
ได้ที่ www.dow.com หรือ ติดตามเฟซบุ๊ก www.facebook.com/DowThailandGroup/
สื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
อภิรดี ภู่ภิรมย์ สุทธิพงศ์
โกรทินธาคม ลลิดา
ทิศาดลดิลก
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กลุ่มบริษัท ดาว
ประเทศไทย กลุ่มบริษัท
ดาว ประเทศไทย
โทร. 02-3657296 / 081-8026933 038-673315
/ 081-7919626 โทร.
02-3657228 / 089-6687079
อีเมล:
papiradee@dow.com อีเมล: skrotintakom@dow.com อีเมล:
lalida@dow.com
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น