2 รัฐมนตรีเปิดงานโรดโชว์ "สร้างอนาคตไทย 2020"







2 รัฐมนตรีเปิดงานโรดโชว์ สร้างอนาคตไทย 2020” ที่พัทยา คนนับหมื่นแห่ชมนิทรรศการโครงข่ายคมนาคมไทยในอนาคต
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.56 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติ พีช โรงแรมรอยัลคลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.กระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมรวมความรู้นิทรรศการงานเสวนาครั้งยิ่งใหญ่ "สร้างอนาคตไทย 2020" โดยมี นายวิทยา คุณปลื้ม นายกบอจ.ชลบุรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา รวมทั้งผู้ว่าราชการ 4 จังหวัด ภาคตะวันออก ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และประชาชนนับหมื่นคน เข้าร่วมงาน
โดยภายในงานได้จัดนิทรรศการในรูปแบบมัลติมีเดีย แสดงข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและขนส่งที่จะเกิดขึ้นภายใน 7 ปีข้างหน้าหลัง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านการพิจารณา อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟรางคู่ โครงข่ายถนนเชื่อมภูมิภาค ท่าเรือ และการพัฒนาด่านการค้าชายแดน นอกจากนี้ยังมีการออกบูธจำหน่ายสินค้าโอท็อปจากจังหวัดต่างๆ ให้ผู้ร่วมงานได้ซื้อหาอีกด้วย
ต่อมามีการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และ เชื่อมภาค เชื่อมชีวิต บูรณาการทุกทิศสู่ความเจริญ โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีการเสวนา ในหัวข้อ "ภาคตะวันออก ศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมการลงทุนและท่องเที่ยว โดยนายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา, นายสุนทร ธัญญวัฒนกุล ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี, นางสุวพรรณ จันทสารวิวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี และนายสินธ์ไชย วัฒนศาสตร์สาธร นายกสมาคมนักธุรกิจและท่องเที่ยวเมืองพัทยา
สำหรับงาน สร้างอนาคตไทย 2020” จะได้มีการจัดสัญจรไปทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่ จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช และ จ.สงขลา เพื่อนำเสนอข้อดีในการพัฒนาเครือข่ายการคมนาคมและขนส่งให้ประชาชนได้รับทราบ.
................................................................................................................

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในอดีตประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการการเงินในปี 2540 โดยมีการกู้เงิน 1.14 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยต้องเป็นหนี้และต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการชำระดอกเบี้ยถึงปีละ 7 หมื่นล้านบาทซึ่งกินเวลานานมานับ 10 ปี รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดชำระหนี้จนถึงปัจจุบันถือว่าเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น สังคมมองว่าประเทศต้องเป็นหนี้กินเวลานานถึง 50 ปีที่ต้องเสียเวลาในการชำระเงินคืน แต่เมื่อพ้น 50 ปีไปแล้วเมื่อหนี้สินหมดไปประเทศไทยก็ยังมีทรัพย์สินอยู่ที่ยังสามารถใช้งานไปได้อีกหลายทศวรรษ ที่สำคัญเงินกู้เหล่านี้มีการกำหนดการชำระไว้เป็นที่ชัดเจน โดย 10 ปีแรกจะยังไม่ชำระจะเริ่มในปีที่ 11 ขั้นต้นจำนวน 2 หมื่นล้านบาท จากนั้นก็จะจัดแบ่งงบประมาณไว้ในสัดส่วน 100 ละ 1 เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถชำระได้ให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด

นายกิตติรัตน์ กล่าวต่อไปว่าสำหรับงบเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้นได้มุ่งเน้นการพัฒนาระบบด้านการขนส่งและคมนาคมเป็นหลัก จึงจำเป็นต้องออกเป็นกฎหมายแยกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งมีภาระและโครงสร้างการพัฒนาที่ครอบคลุมหลายด้าน เพราะหากไม่กำหนดแบ่งแยกให้เกิดความชัดเจนก็จะทำให้การพัฒนาระบบเหล่านี้เป็นอย่างเชื่องช้าไม่เกิดผลโดยเร็ว โดยมีการกำหนดโครงการรองรับไว้แล้วกว่า 50 โครงการ ซึ่งถือว่าครบถ้วน คุ้มค่ากับการลงทุน โดยมีการตรวจสอบและพิจารณาอย่างรอบคอบจากสำนักงบประมาณและคณะรัฐมนตรี ดังนั้นจึงจะไม่มีการนำงบประมาณมากองไว้หรือก่อให้เกิดหนี้ก่อน แต่จะทำไปตามโครงการที่กำหนดไว้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในส่วนนี้จะมีการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งที่เชื่อมโยงภายในประเทศและจุดเชื่อมต่อในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวด้านการขนส่งสินค้า และการเดินทาง

ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมต.คมนาคม กล่าวเสริมถึงโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่มุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออกนั้น ด้วยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักของประเทศในหลายด้าน ทั้งด้านการอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว เกษตรกรรม และอื่นๆ รวมหลายแสนล้านบาท มียอด GDP สูงในอันดับต้นๆของประเทศ แต่ที่ผ่านมากลับมีงบประมาณลงมาสนับสนุนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของการขนส่ง การคมนาคม โดยจะดูได้จากสถิติของจำนวนผู้คนที่เดินทางเข้าสู่ภาคตะวัน ออกนั้นจะเป็นการเดินทางโดยรถยนต์ 84 % รถโดยสาร 16 % ไม่มีเรื่องของระบบรางเข้ามาเป็นสัดส่วนในการเดินทาง ขณะที่ภาคการขนส่งนั้นสถิติพบว่าการขนถ่ายสินค้าทางระบบรางซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำอยู่ที่ 1.7 ล้านตัน/ปี ขณะที่การขนส่งทางรถบรรทุกกับอยู่ที่ 1.3 ล้านตัน/ปี ซึ่งกรณีนี้ส่งผลให้การจราจรติดขัด การคมนาคมถือว่าถึงขั้นวิกฤต นอกจากนี้ยังทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่สูงขึ้น รวมไปถึงเรื่องของพลัง งานที่สิ้นเปลืองเช่นกัน

นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่าสำหรับแผนการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกนั้น มีการกำหนดโครงการหลักไว้แล้วรวมไปเป็นงบประมาณกว่า 1.3 แสนล้านบาท อาทิ โครงการถไฟฟ้าความเร็วสูง สาย กทม.พัทยา-ระยอง ระยะทาง 221 กม. ซึ่งจะเชื่อมโยง 3 สนามบินหลักได้แก่ ดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา ด้วยรถไฟความเร็วสูงเฉลี่ย 250-400 กม.ต่อชั่วโมง พร้อมด้วยการก่อสร้าง 5 สถานีจอดหลัก บรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย 13,800 คนต่อวัน หรือโครงการรถไฟรางคู่ ถนนขนาด 4 เลน จัดทำโครงข่ายถนนเชื่อมท่าเรือแหลมฉบัง การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 การพัฒนาโครงข่ายการจราจรทั่วภูมิภาค เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้จะมีการประชุมร่วมทุกภาคส่วน และทำประชาพิจารณ์เพื่อขอรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามโครงการ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่จัดทำเพื่ออนาคตและเกิดผลเป็นรูปธรรมแน่นอน โดยมีการกำหนดกรอบของการปฏิบัติไว่อย่างชัดเจนในระยะเวลา 7 ปีที่ต้องแล้วเสร็จ และถือเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเพราะหากรอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีความคืบหน้าในการพัฒนาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า และจะทำให้อนาคตประเทศไทยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเรื่องของต้นทุนที่จะสูงขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยและโอกาสที่จะเสียไปด้วย ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะมีปัญหาการคอร์รัปชั่นสูงนั้น เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักและร่วมกันตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิด โดยจะต้องเน้นให้มีการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดำเนินการใดๆหรือไม่จัดทำก็จะทำให้ประเทศเดินไปไม่ได้ และการพัฒนาในด้านต่างๆจะไม่ครอบคลุมและเกิดประโยชน์สูงสุด


About แอดมิน

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.

ผู้สนับสนุน